COSMEDTHAI http://cosmedthai.siam2web.com/

สิว

          ในทางการแพทย์ สิวคือความผิดปกติของผิวหนังและเป็นโรคชนิดหนึ่ง สิวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของท่อไขมันเกิดอุดตันจากการที่ผิวหนังผลิตไขมันมากและมีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จนเกิดอักเสบบวมแดง(Inflammation)และอักเสบติดเชื้อ(Infection) หัวสิวมักมีหนองเกิดขึ้นเล็กน้อยจนถึงมากและเจ็บปวดรุนแรง สิวจึงเป็นความทรมานทั้งทางกายและจิตใจ โดยเฉพาะสิวที่มีอาการอักเสบ มีหนองหรือรุนแรงมากเช่นสิวหัวช้าง โดยทั่วไปวัยรุ่นกว่า 85% เคยประสบปัญหาเรื่องสิว ที่ใบหน้า คอ หลัง ไหล่และหน้าอก สิวมักเกิดขึ้นเป็นๆหายๆไปจนกระทั่งอายุเลย 30 ปีแล้วบางคนก็ยังมีสิวอยู่ ปกติเมื่ออายุมากขึ้นสิวจะค่อยๆเบาบางและหายไปได้เอง ส่วนสาเหตุอันแท้จริงของสิวยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน แต่จากหลักฐานที่ทราบ สิวเกิดจากสาเหตุหลักสี่ประการคือ

  • 1. ต่อมไขมันโตและผลิตไขมันมากผิดปกติ
  • 2. เซลล์ท่อขุมขนแบ่งตัวเร็วขึ้นทำให้ชั้นบนที่จะหลุกออกตามลำดับชั้นหลุดออกไม่ทันเกิดถุงใต้ขุมขนที่ยังไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
  • 3. มีไขมันและเศษของเซลล์ที่ตายหลุดร่อนออกแล้วมาสะสมอยู่ที่ถุงใต้ขุมขน
  • 4. เกิดการขยายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ซึ่งจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ปล่อยสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบบวมแดงมากมาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการแตกของหัวสิว การไหลออกมาของไขมัน แบคทีเรีย กรดไขมันสู่ชั้นบนของผิวหนัง

นอกจากนี้อาจมีสาเหตุอื่นๆที่เป็นส่วนประกอบของการเกิดสิวอีกมากมายเช่น

  • ก. พันธุกรรมหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิว ก็มักจะมีแนวโน้มเกิดสิวได้ง่าย
  • ข. ระดับของฮอร์โมนระหว่างรอบเดือนหรือระยะวัยรุ่น ฮอร์โมนเพศชายกลุ่มที่เรียกว่า Androgens จะผลิตออกมามาก ฮอร์โมนนี้จะทำให้ต่อมไขมันโตขึ้นซึ่งก็จะผลิตไขมัน(Sebum) มากขึ้น ทำให้สิวกำเริบ
  • ค. การอักเสบบวมแดง(Inflammation)เฉพาะที่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด เช่นรอยขีดข่วน การบีบ เกา เป็นตัวการทำให้สิวรุนแรงขึ้นได้ทั้งสิ้น
  • ง. ความเครียด ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมอะดรีนอล นักวิทยาศาสตร์พบว่า ระดับความรุนแรงของความเครียด มีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของสิว
  • จ. ต่อมไขมันที่มีปฏิกิริยาไวมาก ซึ่งมันจะเป็นผลร้ายต่อการเป็นสิวเมื่อมีฮอร์โมนดังกล่าวข้างต้นมาก
  • ฉ. เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes) ที่อยู่ในท่อไขมันเป็นแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศสำหรับการเจริญเติบโต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรียนี้มีการดื้อยาปฏิชีวนะในห้องปฏิบัติการมากขึ้น
  • ช. การใช้สารสเตียรอยด์เพิ่ม(Anabolic steroids)ขนาดของกล้ามเนื้อ

 กลยุทธ์การรักษาสิวแบบมาตรฐาน

  • ก. ยาทาสิวที่นิยมใช้สำหรับหัวสิวมีหลายกลุ่มเช่น comedone ที่อักเสบเล็กน้อยถึงปานกลางเช่น retinoid, benzoyl peroxide และ sulfacetamide, azelaic acid ส่วนยา erythromycin และ clindamycin ก็อาจใช้เสริมเพื่อการรักษาที่ดีกว่าได้ สำหรับราคายาทาสิว(ในอเมริกา) มีแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดและยี่ห้อ เช่น

retinoid gel                ขนาด 15 g.           ประมาณ 1,200 บาท

clindamycin gel          ขนาด 30 g.            ประมาณ 900 บาท

erythromycin gel        ขนาด 30 g.           ประมาณ 550 บาท

azelaic acid                ขนาด 30 g.           ประมาณ 1,500 บาท

benzoyl peroxide        ขนาด 90 g.           ประมาณ 1,000 บาท

sulfacetamide             ขนาด 118 ml.        ประมาณ 3,100 บาท

  • ข. ยา erythromycin, doxycycline, tetracycline หรือ minocycline กินต่อเนื่องติดต่อกัน 6 เดือน ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นสิวอักเสบปานกลางถึงชนิดรุนแรง หรือใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเพศชาย(low-androgen)ผู้หญิงที่เป็นสิวอักเสบปานกลางถึงหนักก็ให้ผลการรักษาที่ดีเช่นกัน สำหรับสิวอักเสบรุนแรงและรักษายาก จะเป็นเรื่องของแพทย์โดยเฉพาะที่จะสั่งยา Isotretinoin เพราะยาตัวนี้มีผลต่อการผิดปกติทารกชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามควร หากเราพอมีความรู้เรื่องยาบ้างโดยเฉพาะในผู้หญิง เราควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ให้มากที่สุด เพราะยาตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่ม X ซึ่งหมายความว่าทำให้ทารกที่คลอดมีอาการผิดปกติ 100% นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการเครียด ก้าวร้าวและมีแนวโน้มของสภาวะจิตในการคิดฆ่าตัวตายได้มาก ราคาของยากินรักษาสิวเฉลี่ยทั่วไป(ในอเมริกา)เช่น

Erythromycin           250 mg.         จำนวน 30 เม็ด                ราคาประมาณ    270 บาท

Doxycyclin                50 mg.         จำนวน 30 แคปซูล            ราคาประมาณ  2,100 บาท

Minocyclin                50 mg.         จำนวน 30 แคปซูล            ราคาประมาณ  2,100 บาท

Tetracyclin              250 mg.         จำนวน 30 แคปซูล            ราคาประมาณ    240 บาท

          แม้ว่าวิธีการรักษาดังกล่าวจะได้ผลดี แต่ก็ต้องตระหนักว่าสิ่งสำคัญมากคือ ไม่มีวิธีใดรักษาต้นเหตุการเกิดสิวที่ชัดเจนได้เลย สิ่งที่เราต้องการทำคือการกำจัดแบคทีเรียต้นเหตุของสิวอักเสบ ซึ่งก็สามารถทำได้โดยกลยุทธง่ายๆเกี่ยวกับการกินอาหาร แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมักไม่คำนึงถึงหลักการที่เป็นจริงดังกล่าว ซึ่งเรื่องอาหารเป็นสิ่งที่ส่งผลสำหรับการรักษาสิวได้ชัดเจน

          หากคุณมีแนวโน้มว่าจะเกิดสิวอยู่แล้ว และกินอาหารที่ทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงขึ้นหรือทำให้เกิดสารที่เป็นปัจจัยส่งให้อินซูลินสูงขึ้น คุณก็จะเป็นสิวแน่นอน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอาหารแป้งขัดขาวหรือน้ำตาลจะไปทำให้ระดับอินซูลินสารคล้ายอินซูลิน หรือ insulin-like growth factor (IGF-1) ในร่างกายพุ่งสูงขึ้นทันที สารนี้ส่งผลให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้นและทำให้มีการผลิตไขมันภายในท่อไขมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไขมันดังกล่าวเป็นตัวดึงดูดแบคทีเรียชนิดที่ส่งเสริมการเกิดสิว อีกประการหนึ่งสาร IGF-1 ทำให้ผิวหนังภายในท่อไขมันส่วนที่เรียกว่า keratinocytes แบ่งตัวเพิ่มมากขึ้น ท่อไขมันแคบลง ไขมันคั่งค้าง อันเป็นขบวนการส่งเสริมการเกิดสิวมากขึ้น

          ดังนั้นวิธีการแก้รากเหง้าของปัญหาของสิวก็คือ ลดการกินอาหารที่เป็นสาเหตุของการเพิ่มอินซูลิน อาหารตัวสร้างปัญหาดังกล่าวเช่น น้ำตาล แป้งจากเมล็ดพืชทุกชนิดที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในร่างกายของเราได้ อาหารเหล่านี้เช่น ขนมปัง ธัญพืช พาสต้า ข้าว มันฝรั่ง ข้าวโพด

          ความสับสนในแนวคิดเรื่องนี้คือ ความคิดเรื่องเมล็ดพืชคืออาหารที่ส่งเสริมให้มีสุขภาพดี แต่ไม่ว่ามันจะมีคุณภาพสูงหรือธัญญพืชอินทรีย์เช่น ขนมปังโฮลวีท มันก็ยังสร้างปัญหาเกี่ยวกับสิวอยู่ดีเพราะยังคงเป็นแป้งอยู่นั่นเอง

          ความสับสนอีกเรื่องคือเรื่องที่เข้าใจว่าข้าวโพดเป็นอาหารประเภทผัก อันที่จริงข้าวโพดเป็นเมล็ดพืชแน่นอน ข้าวโพดมีคาร์โบไฮเดรทสูงมากและควรหลีกเลี่ยงไม่ควรกิน แม้แต่ผลไม้ก็ค่อนข้างจะเพิ่มอินซูลินในร่างกาย สุดท้ายหากคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวอยู่แล้ว ผลไม้ก็ส่งเสริมให้เกิดสิวได้

          คุณควรกินคาร์โบไฮเดรทจากผักแทนคาร์โบไฮเดรทจากเมล็ดธัญพืช เพราะว่าคาร์โบไฮเดรทจากพืชย่อยช้า ไม่ส่งผลให้ระดับอินซูลินพุ่งสูงเร็วนัก

ปัจจัยอีกสองประการหนึ่งในการพิจารณาร่วมในขณะรักษาสิว โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธีการรักษากระแสหลักคือ

  • 1. สร้างสมดุลให้กับจำนวนแบคทีเรียในร่างกายด้วยการกินโปรไบโอติก(Probiotics)ในขณะที่กินยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าทำลายแบคทีเรียโดยไม่มีการแยกแยะ มันกำจัดแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ออกไปพร้อมกับเชื้อโรครวมทั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวที่ใบหน้าด้วย ผลข้างเคียงที่พบเป็นปกติคือเกิดการเสียสมดุลจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของยีสต์อย่างมากมาย ในกรณีที่เป็นผู้หญิงก็มักพบการติดเชื้อยีสต์ในช่องคลอด แต่ทั้งเพศชายและหญิงก็สามารถเกิดการติดเชื้อราแคนดิดาอันเนื่องมาจากการเสียสมดุลของแบคทีเรียในทางเดินอาหาร หากเราสามารถลดอาหารที่ส่งเสริมการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโทษได้ เช่นอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ก็จะช่วยสร้างสมดุลในลำไส้กลับมาใหม่ได้
  • 2. ปรับระดับไวตามิน ดี ให้เหมาะสม - จากข้อมูลล่าสุดเราพบว่า ไวตามิน ดี มีความสำคัญมากในการช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เรา และช่วยควบคุมการติดเชื้อได้เกือบทั้งหมด เมื่อเราสามารปรับระดับไวตามิน ดี ให้เหมาะสมได้ แปลว่าเราสามารถสร้างสารที่เรียกว่า antimicrobial peptides หรือเรียกว่า เป็บไทด์ของระบบป้องกันของเจ้าบ้าน ได้มากกว่า 200 ชนิด สารเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันดั้งเดิมในคนและในสารปฏิชีวนะออกฤทธิ์กว้างอย่างแรง วิธีสร้างวิตามิน ดี ที่มีระดับเหมาะสมที่สุดคือให้ร่างกายส่วนใหญ่ถูกแสงแดดที่ไม่แรงจัด จนกระทั่งสีผิวเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆซึ่งร่างกายทั้งหมดสามารถผลิตวิตามิน ดี ได้มากถึง 20,000 IU ได้ หลังจากนั้นร่างกายก็ไม่อาจสร้างไวตามิน ดี ได้อีก ซึ่งผิวหนังอาจไหม้เกรียมหากโดนแดดนานไปกว่านั้น

หากไม่ใช้วิธีการตากแดดเพื่อสร้าง ไวตามิน ดี ดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น ก็อาจใช้วิธีกินไวตามิน ดี วันละ 2-3,000 หรืออาจมากถึง 10,000 IU ได้ แต่เนื่องจาก ไวตามิน ดี เป็นไวตามินกลุ่มที่ละลายในไขมัน เมื่อกินเป็นเวลานานๆต่อเนื่องอาจเกิดการสะสมมากเกินระดับความปลอดภัยได้ จึงควรตรวจดูระดับไวตามิน ดี ที่ปลอดภัยในเลือดเป็นระยะด้วย

•1.   Acne vulgaris. See excerpt in < http://en.wikipedia.org/wiki/Acne_vulgaris>

•2.   Bread may be the Culprit Behind Acne. See excerpt in                                                                    < http://articles.mercola.com/sites/articles/archive/2002/12/25/bread-acne.aspx >

•3.   STEVEN FELDMAN, M.D., PH.D. , Diagnosis and Treatment of Acne. http://www.aafp.org/afp/20040501/2123.html

 

วิธีการล้างหน้าที่ดี

          ฟอกสบู่ด้วยมือทั้งสองข้างจนเป็นฟองแล้วใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบไล้เป็นรูปวงกลมเบาๆให้ทั่วใบหน้าอย่างน้อย 40-50 รอบ ล้างฟองสบู่ออกด้วยน้ำสะอาดจนหมด เช็ดน้ำออกจากบริเวณรอบดวงตาเท่าที่จำเป็นแล้วปล่อยให้แห้ง

          การล้างหน้าบ่อยๆแล้วเช็ดให้แห้งทุกครั้งอย่างที่เคยทำ อาจจะไม่เกิดผลดีต่อใบหน้าตามที่เข้าใจกันมานาน วิธีการล้างหน้าเพื่อให้ผิวสะอาดโดยมากก็อาจมีการฟอกด้วยสบู่ล้างหน้าและถูแรงๆเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกไป วิธีดังกล่าวจะทำให้ผิวหน้าที่อ่อนนุ่มเกิดอาการระคายเคืองมากยิ่งขึ้น การล้างหน้ายิ่งมากครั้งแล้วเช็ดให้แห้งทุกครั้งก็จะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งและนำเอาปราการป้องกันผิวหนังตามธรรมชาติ(Natural Moisturizing Factor, NHF) ออกไปจากผิวหนังทุกครั้งเช่นกัน

          NMF คือปัจจัยที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวหนัง ประกอบด้วยเซลล์ของหนังกำพร้า  เหงื่อ และไขมันที่ทำหน้าที่ร่วมกันในการป้องกันการระเหยของน้ำ ส่วนที่เป็นของเหลวของ NMF ราว 40% ประกอบด้วยกรดอมิโนหลายชนิดซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสารที่ให้ความชุ่มชื้นของผิวหนังและสารยูเรียที่ทำหน้าที่เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระจากออกซิเจน

          กรดอมิโนและยูเรียที่เป็นส่วนประกอบของ NMF มีคุณสมบัติละลายในน้ำได้ดี  ขณะที่ล้างหน้ากรดอมิโนและยูเรีย จึงละลายออกมาจากผิวและละลายเป็นส่วนผสมอยู่ในน้ำที่เคลือบบนใบหน้า การเช็ดหน้าให้แห้งหลังล้างหน้าจึงเท่ากับเป็นการนำเอากรดอมิโนและยูเรียออกไปจากผิวหนัง และติดอยู่บนผ้าเช็ดหน้าซึ่งเราสามารถสัมผัสกลิ่นได้แรงมากขึ้นเมื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าซ้ำๆกันหลายครั้ง

 

                                    

Advertising Zone    Close


Online: 1 Visits: 30,631 Today: 5 PageView/Month: 44

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...